วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

ผีโพง – ภูตว่าน


ผีโพง
เทคนิค : วาดภาพบนกระดาษแต่งภาพ Photoshop

ผีโพง



ผีโพง เป็นผีตามความเชื่อพื้นบ้านทางภาคเหนือ ผู้ที่เป็นผีโพงเกิดจากเล่นไสยศาสตร์แล้วควบคุมวิชาในตัวเองไม่ได้ หรือปลูกว่านชนิดหนึ่ง เรียกว่าว่านผีโพง ซึ่งมีสีขาว รสฉุนร้อน เมื่อแก่จะมีธาตุปรอทลงกิน ทำให้เกิดแสงส่องสว่างแบบแมงคาเรือง
ผู้ที่เป็นผีโพง ในเวลากลางวันจะเป็นเหมือนผู้คนธรรมดา ๆ ทั่วไป แต่ตกกลางคืนจะกลายร่างเป็นผีโพง มีจุดเด่นคือ มีแสงสว่างหรือดวงไฟที่รูจมูก ออกหาของกิน ได้แก่ ของสกปรกคาว เช่น กบ,เขียด, ศพ หรือรกเด็กเกิดใหม่ เช่นเดียวกับผีกระสือ, ผีกระหัง หรือผีปอบ
โดยปกติแล้ว ผีโพงจะไม่ทำร้ายมนุษย์ แต่ถ้าหากถูกคุกคามก็จะจู่โจมทำร้ายได้เช่นกัน หากมีผู้ใดไปทำอะไรให้ผีโพงไม่พอใจ ผีโพงจะใช้ก้านกล้วยที่ตัดใบออกหมดแล้วพุ่งข้ามหลังคาบ้านผู้นั้น ซึ่งครอบครัวของผู้ที่โดนขว้างจะพบกับภัยพิบัติต่าง ๆ นานา
ผีโพงจะตายได้ เมื่อมีผู้ไปพบปะกับผีโพงเข้าอย่างจัง และทักว่าผีโพงแท้จริงแล้วคือใคร หากผ่านพ้นมาได้หนึ่งวันแล้ว ผู้ที่เป็นผีโพงจะตาย
ผีโพงสามารถถ่ายทอดให้แก่กันได้ ด้วยพ่นน้ำลายใส่หน้าหรือมีใครไปกินน้ำลายของผีโพงเข้า

ลักษณะ  :  เป็นคนที่โดนผีโพงเข้าสิง  และจะเข้าสิงร่างนั้นตลอด  คนที่โดนผีโพงสิงมักจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองโดนสิง  ผีโพงนั้นจะมีรูปร่างเหมือนคนทุกประการ  แต่มีแสงไฟออกจากจมูก  จะมีอยู่สามสี  คือ  สีแดง  สีม่วง  และสีเขียว

อาหาร  :  ผีโพงจะชอบกินเมือกกบ  เมือกเขียด  แล้วก็คลายทิ้ง  กบ เขียดนั้นก็จะตาย

ตำนานผีโพง
        เป็นผีประเภทเดียวกับผีกระสือ เป็นผีพื้นบ้านทางภาคเหนือ ผีโพงเกิดจากว่านชนิดหนึ่ง เรียกว่าว่านผีโพง ซึ่งมีสีขาว รสฉุนร้อน เมื่อแก่จะมีธาตุปรอทลงกิน ทำให้เกิดแสงส่องสว่างแบบแมงคาเรืองเมื่อจะ ออกหากิน ผีโพงจะออกไปในรูปลักษณ์รูปร่างหน้าตาเหมือนกับเจ้าของว่าน ไม่ได้ถอดหัวกับไส้เหมือนกระสือ มาในรูปร่างกายมนุษย์ทุกอย่าง แต่จะมีดวงไฟเล็กๆ สว่างเรืองๆ อยู่ที่ปลายจมูก และหยดลงเป็นหยดๆ เหมือนหยดน้ำ ฝีโพงจะออกหากินตามหนองน้ำ หรือทุ่งนาหลังฝนตก อาหารของผีโพงคือกบ และเขียด ซึ่งผีโพงจะกินด้วยการจับมาดูดเอาเมือกกินทีละตัวๆ
      โดยปกติ ผีโพงจะกลัวคน และหลบหน้าคน ไม่ยอมให้ใครมาเห็น หรือจำได้ว่าตนเป็นใคร หากมีคนบังเอิญมาพบ คนผู้นั้นไม่ได้ทำอันตราย หรือวิ่งหนีไป ผีชนิดนี้จะเข้ามาเจรจา บ้างก็เสกก้อนหินเป็นเหรียญ เสกใบไม้เป็นธนบัตร แล้วเอามาให้คนๆนั้น แล้วบอกว่าอย่าบอกให้ใครรู้ว่าตนเองเป็นใคร แต่กลับไปบ้านของพวกนั้นจะกลายเป็นสภาพตามเดิม แต่ถ้าหากใครทำให้เจ็บใจ หรือนำเรื่องไปบอกชาวบ้านว่าตนเป็นใคร ผีโพงจะเอาคานของแม่ม่ายพุ่งข้ามหลังคาบ้าน แล้วในทีสุด คนคนนั้นก็จะพบกับความพินาศวอดวาย หรือไม่งั้น ก็จะนำเอาก้านกล้วยที่ถูกตัดเอาใบออกไปหมดแล้ว พุ่งข้ามหลังคาบ้าน คนภาคเหนือสมัยก่อนเมื่อตัดใบกล้วยนำไปใช้แล้วจึงมักจะสับก้านกล้วยให้เป็น ชิ้นเล็กๆแล้วนำไปทิ้ง หรือไม่งั้นก็จะถ่มน้ำลาย ใส่ในหม้อน้ำดื่ม บ้านคนที่เห็นหน้าตนและนำไปบอกคนอื่น หรือทำร้ายตนเอง เพื่อให้บุคคลผู้นั้นกลายเป็นพีโพงต่อไปหากมีคนทราบว่าตนเป็นใคร จะอยู่ได้ไม่เกินสามวัน จะมีตุ่มน้ำหนองพุพองทั่วร่างกาย แล้วสิ้นใจไปที่สุด ผีโพง ชอบกิน ของสดของคาว เช่น คาวจากปลาสด แต่ที่ชอบมากที่สุดคือ คาวจากเขียด ผีโพงจะอยู่ในเรือนของคนที่เป็นร่างสื่อ เมื่อจะออกหากินจะเข้าสิงคนที่เป็นร่างสื่อแล้วบังคับให้ออกหากิน ส่วนมากจะออกหากินในเวลากลางคืน มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า หากอยากรู้ว่าผู้ใดเป็นร่างสื่อของผีโพง ให้สังเกตดูที่ปลายจมูกของบุคคลนั้น ถ้ามองดูห่างๆ จะเห็นเป็นสีแดงมากกว่าคนทั่วไป ถ้าดูใกล้ๆ จะเห็นมีเส้นเลือดแดงขวักไขว่ ถ้าร่างสื่อเป็นหญิงนอกจากปลายจมูกจะแดงแล้ว ปลายผมยังแห้งงออีกด้วย  ถ้าวัดมีงาน ผู้ดูแลหอศาลจะเป็นคนนำพานข้าวตอกดอกไม้ธูปเทียนไปบอกกล่าวให้ผีเสื้อวัดได้ รับรู้ เพื่อขอให้ช่วยดูแลงานให้เรียบร้อย ไม่ให้เกิดเรื่องร้าย หรืออย่าให้มีอุปสรรคใดๆ ระหว่างที่วัดมีงาน เช่น งานปอยหลวง (งานฉลอง) จะกี่วันก็ตาม ผู้ดูแลจะเป็นผู้จัดสำรับอาหารคาวหวานจากวัดไปถวายโดยตั้งไว้บนหอศาลทุกวัน ผีโพงจะออกหากินในเวลากลางคืน ถ้าเป็นฤดูฝนโอกาสดีจะออกหากินบ่อย ส่วนมากจะเป็นคืนข้างแรมหรือคืนเดือนมืด เวลาประมาณหลังเที่ยงคืนไปแล้ว เมื่อชาวบ้าน และคนในครอบครัวนอนหลับกันหมดแล้ว ผีโพงจะเข้าสิงร่างสื่อแล้วบังคับให้ลงจากเรือน โดยคนที่เป็นร่างสื่อจะรู้สึกตัวบ้าง ไม่รู้สึกตัวบ้าง เมื่อลงไปข้างล่างจะเอาจมูกถูกับเสาเรือนเพื่อให้เกิดพลังแสงก่อนแล้วจึง เดินออกไปกลางทุ่งนา ที่ปลายจมูกจะมีแสงสีแดงลักษณะคล้ายไฟน้ำตกสาดแสงออกมาเพื่อส่องหาเขียด เมื่อพบเขียดจะจับขึ้นมาจูบกินคาว เมื่อคาวหมดก็จะทิ้งไปแล้วหาตัวใหม่ต่อ จับไปจูบไปจนกว่าจะอิ่ม ใช้เวลาคืนหนึ่งประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ถ้าคืนไหนไม่มีสิ่งรบกวนจะใช้เวลาหากิน 2-3 ชั่วโมง แล้วจึงกลับขึ้นเรือนและเข้านอน โดยคนที่เป็นร่างสื่อจะรู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่นคล้ายฝันไป มีคนเล่าว่าเวลาเช้ามืดถ้าออกไปสำรวจดูบริเวณที่เราเห็นแสงของผีโพงในคืนที่ ผ่านมา จะเห็นเขียดนอนตายตามคันนาเป็นระยะๆ ในลักษณะตัวเหยียดยาว
คนที่มีเรือนใกล้กับเรือนของคนที่เป็นผีโพงเล่าให้ฟังว่า ได้เคยแอบดูพฤติกรรมของคนที่เป็นผีโพงมาโดยตลอด จึงได้ทดลองวิธีการแกล้งผีโพงตามที่คนโบราณบอกไว้ว่า คืนไหนที่มีฝนตกปรอยๆ เขาจะแอบดูตั้งแต่คนที่เป็นร่างสื่อลงจากเรือนไปที่ทุ่งนา เขาจึงไปยกบันไดเรือนของคนที่เป็นผีโพง กลับเอาข้างล่างขึ้นข้างบน หรือสับเปลี่ยนบันไดกับเรือนอื่นที่อยู่ใกล้กัน (การยกบันไดสมัยโบราณไม่ยาก เพราะบันไดทำด้วยไม้ไผ่ และมีขั้นบันได้ 3-5 ขั้นเท่านั้น จึงมีน้ำหนักเบา ยกย้ายได้ง่าย) เมื่อผีโพงกลับจากการหากินจะขึ้นเรือนไม่ได้ เพราะเห็นว่าตัวเรือนเป็นของร่างสื่อแต่บันไดไม่ใช่ เมื่อตามไปดูบันไดเรือนที่อยู่ใกล้กัน เห็นว่าบันไดใช่ แต่ตัวเรือนไม่ใช่ ร่างสื่อของผีโพงจึงไม่กล้าขึ้นเรือน จะอยู่ใต้ถุนเรือนรอจนถึงเช้า เมื่อสว่างแล้วจึงทำทีถือไม้กวาด กวาดตามลานบ้าน เพื่อกลบเกลื่อนไม่ให้คนในครอบครัวรู้ แต่การแกล้งผีโพงต้องระวังตัวให้ดี เพราะผีโพงจะอาฆาตจองเวร ครอบครัวใดที่มีสมาชิกในครัวเรือนเป็นผีโพง คนในครอบครัวเดียวกันจะไม่ค่อยรู้ เล่ากันว่าก่อนที่ผีโพงออกหากิน จะสะกดจิตทุกคนในครอบครัวให้หลับเป็นตาย (หลับสนิท) จนกว่าผีโพงจะกลับเรือน คนที่รู้เห็นจึงเป็นคนนอกครอบครัวนั้นในระหว่างที่ผีโพงกำลังออกหากินเขียด ถ้ามีใครที่ไปหาปลาพบเห็นเข้า ท่านห้ามเข้าไปใกล้ หรือถ้าเห็นหน้าและรู้จักคนที่เป็นร่างสื่อของผีโพง ก็อย่าได้ทักหรือเรียกชื่อเขา ให้หลีกไปเสีย เพราะอาจจะถูกผีโพงทำร้ายเอาได้ ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังว่า มีคนหาปลาไปพบผีโพงในระยะใกล้จนเห็นหน้าและรู้ว่าเป็นใคร ผีโพงนั้นได้เข้ามาขอร้องอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร โดยขอร้องอย่าได้บอกให้คนอื่นรู้ว่าเขาเป็นผีโพง พร้อมกับควักสิ่งของที่ติดตัวไป เช่น แหวน เป็นต้น ให้แก่คนที่ไปพบ เพื่อเป็นค่าจ้างไม่ให้ไปบอกคนอื่น ถ้าใครทำให้ผีโพงโกรธ เพราะรู้ความลับของเขาแล้วไปเล่าให้ผู้อื่นฟัง หรือเข้าไปทักชื่อของร่างสื่อที่กำลังออกหากิน ผีจะอาฆาตและจองเวร โดยผีโพงจะใช้ก้านของใบกล้วย ที่มีคนฉีกเอาใบออกแล้วทิ้งก้านไว้ตามสวน พุ่งข้ามหลังคาเรือนของคนที่ผีโพงโกรธ หลังจากนั้นไม่นานคนนั้นจะมีอาการเหงาซึม ร่างกายซูบผอม และตายในที่สุด ด้วยเหตุนี้คนแต่ก่อน หรือแม้แต่คนในปัจจุบันตามชนบท เมื่อฉีกใบกล้วยออกจากก้านแล้ว จึงตัดให้เป็นท่อนๆ ก่อนจะทิ้ง จะไม่ทิ้งไว้ทั้งก้านอย่างนั้น เพราะกลัวว่าผีโพงจะนำไปใช้พุ่งข้ามหลังคาเรือน บางท้องถิ่นเชื่อว่าถ้าผีโพงโกรธใคร จะใช้ไม้คานพุ่งข้ามหลังคาเรือน คนที่เป็นศัตรูของผีโพงที่อยู่ในเรือนนั้น จะไม่สบายและสุดท้ายก็จะตาย

ตำนานผีโพงจากชาวล้านนา
                              "ผีโพงมีแสงออกฮูดังใสโพงโยงหากิ๋นของคาวในยามค่ำคืน" 
ระวังเน้อ...ล่ะอ่อนหน้อย  ออกไปเที่ยวทุ่งนายามกลางค่ำกลางคืนผีโพงผีสือมันจะยับ(จับ)เอาไปกิ๋นตับ
-บรรดาผู้เฒ่าทั้งหลาย ต่างสั่งสอนหล่ะอ่อนต่อนแต่นทั้งหลายว่า ผีโพงมันเป็นคนเพศชาย  ส่วนผีสือมันเป็นผู้หญิง  ผู้ที่เป็นผีโพงหรือผีสือ มันชอบกินของคาว  กินของสดๆ  เมื่อเวลาพลบค่ำหากมันหิวก็แอบไปที่เสาเรือนปื๊นกะล่าง(ใต้ถุน)ครัวไฟ  เอาฮูดัง(จมูก)ถูไถโคนเสาจนปลายฮูดังมันร้อนออกแสงใสโพงโยง  หากเป็นผีโพงแสงสีออกเขียวๆ  หากเป็นผีสือเพศหญิงแสงออกสีแดงๆเรื่อๆ
เมื่อมีแสงออกปลายฮูดังหรือปลายจมูกมันแล้วก็ออกเดินไปหากิน  ส่วนมากจะเป็นทุ่งนาป่าเขาที่มีกบเขียดมากมาย  หากพบเหยื่อมันจับขึ้นมายัดเหยื่อเข้าปากดิ้นกระดุบๆ แล้วอมรูดเอาเมือกคาวออกมากลืนเข้าท้องอย่างอร่อยลำแต๊ๆ เสร็จแล้วทิ้งซากสัตว์ไว้ตามพื้นดินแถวๆนั้น รุ่งขึ้นผู้คนมักจะเดินไปพบซากสัตว์ที่แบนตะแล้ดแต้ดนอนตายทั่วไป  ผู้ที่พบเห็นก็จะทราบว่าแถวๆนี้มันมีผีโพงออกล่าเหยื่อ   ต่างก็โจทย์ขานบอกต่อกันไป
เมื่อเราไปเที่ยวตามทุ่งนายามกลางคืนหากเห็นดวงไฟไกลๆสีเขียวบ้าง สีแดงออกเรื่อๆบ้าง ก็เชื่อแน่ว่านั่นคือผีโพงหรือผีสือแล้วแต่โอกาสโชคอำนวยที่ได้ให้พบ  ขออย่างเดียวอย่าตกใจโกยแน้บ จนก้นตั้งป้อด(ล้มก้นกระแทก)ตกคันนาปั้กกะดิ้ก(คะมำ)หัวทิ่มลงขี้เป๊อะ(โคลน)จ๋นแก๊นอึ้กแก๊นอั้ก(สำลัก) ก็แล้วกัน
มีอยู่บ้างที่ผู้คนฉวยโอกาสทั้งๆที่ตนเองไม่ได้เป็นผีโพงผีสือ  แต่ด้วยนิสัยที่เป็นหัวขี้ขโมยออกหากินยามพลบค่ำ แอบลักของชาวบ้าน จับสัตว์เลี้ยงชาวบ้านไปกิน  หรือไอ้หนุ่มตัวดี แอบนัดสาวลงมาพร่ำรักกันใต้ถุนบ้าน  บางครั้งก็เป็นไอ้หนุ่มถ้ำมองมันจะแฝงตัวมาอาละวาดเวลาเดียวกันกับผีโพงผีสือออกล่าเหยื่อ  ด้วยที่ฮูดังมันไม่มีแสง แต่มันมีผมสีดำธรรมดาๆ  ผู้คนจึงเรียกคนประเภทนีว่า " ผีโพงดำ"  ก็เป็นอันเข้าใจกันว่ามันไม่ใช่ผีโพงหรือผีสือตัวจริง  ด้วยเหตุที่กลัวผีโพงหรือผีสือจะเข้าปื๊นกะล่าง(ใต้ถุน)ผู้คนจึงตัดต้นหนามเล็บแมวมาวางไว้ใต้ถุนบ้านโดยเฉพาะบ้านที่มีหญิงอยู่เดือน(อยู่ไฟ)มักจะมีเลือดตกค้างตอนคลอดลูกที่ทิ้งลงตามฮูจ้อง(รูช่องกระดานพื้นบ้าน)จะตัดหนามเล็บแมวมากองถมที่ๆเลือดตก  กันผีโพงผีสือมาเลียกิน
เรื่องผีโพงหรือผีสือจึงเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่เตือนลูกหลาน ผู้หญิงให้ระวังในยามที่ออกไปตามทุ่งนาป่าเขา หรือแม้แต่อยู่บนบ้านก็ห้ามผู้หญิงลงบ้านในยามค่ำคืน
เรื่องเล่า  :
       คนในสมัยก่อนเล่าต่อๆกันมาว่า  ก่อนออกไปหากิน  ผีโพงจะเอาจมูกไปเสียดสีกับบันไดบ้านให้แดงก่อนออกไปหากิน  พอใกล้สว่างก็จะกลับมาที่บ้านเหมือนเดิม  คนที่มีคาถาอาคมสมัยก่อน  ถ้าสงสัยว่าใครเป็นผีโพง  ก็จะร่ายคาถา  แล้วกลับบันไดบ้านของผีโพง  เมื่อผีโพงกลับมาที่บ้าน  ก็เห็นว่าบ้านเป็นของตนเอง  แต่บันไดไม่ใช่  มันก็เดินวนเวียนอยู่หน้าบ้าน  เข้าบ้านไม่ได้  จนรุ่งเช้า  มีคนมาพบเห็นเข้าก็จะรู้ว่าคนๆนั้นเป็นผีโพง  คนที่เป็นผีโพงก็จะอับอาย  หรืออาจหลบหนี้ไปอยู่ที่อื่น  แต่ถ้าผีโพงรู้ว่าใครแกล้งมัน  มันก็จะอาฆาตแค้นเมื่อคนที่ร้ายมัน  พลังอ่อนลง  มันก็จะกลับมาแก้แค้น  โดยเอาก้านกล้วยแม่หม้ายพุ่งข้ามหลังคา  หรือใต้ถุนบ้าน  ทำให้คนที่อยู่ในบ้านเจ็บป่วย  หรือตายหมดทั้งบ้าน
       ผีโพง  จะเป็นตอนกลางคืน  ช่วงที่ชาวบ้านพบเห็นบ่อย  จะอยู่ในช่วงฤดูฝน  ช่วงตอนฝนตก  มักจะเห็นแสงสว่างสีแดง  ม่วง  เขียว  ที่จะสว่างแถวกลางทุ่งนาแล้วดับ  แล้วก็ไปสว่างแล้วดับอีก  ไปเรื่อยๆ  บางก็เล่าว่าจะมีแสงไฟตกจากจมูก  เหมือนหยดน้ำด้วย  ถ้ามีคนตามรอยผีโพงไป  ก็จะเจอกับ  กบ  เขียด  ที่จะนอนตายตัวแข็งตามท้องนา  ถ้าหากว่าคนไปเจอกับผีโพงเข้า  แล้วเห็นว่าผีโพงนั้นเป็นใคร  ผีโพงมักจะบอกว่า  “มันเป็นวิบากกรรมของมัน  ที่ต้องมาชดใช้กรรมแบบนี้”  และอ้อนวอนอย่าให้บอกใคร  ผีโพงก็จะเสก  ใบไม้   ก้อนหิน ก้อนอิฐ  หรือถ่านมี่  (ถ่านมี่  คือถ่านสีดำ  ที่ใช้ก่อกองไฟในครัว)  ให้กล้ายเป็นทองคำ  แล้วเอาจ้างคนที่พบเห็น  เพื่อที่จะไม่ให้บอกใคร  ถ้าไม่รับปาก  หรือไม่รับทองคำนั้นมา  ผีโพงก็จะทำร้าย  หรือทำให้เรากลายเป็นผีโพงเหมือนมัน
       เมื่อรับทองคำนั้นมาแล้ว  ตอนเช้าทองคำนั้นก็จะกลายเป็นใบไม้  ก้อนหิน  ก้อนอิฐ  หรือถ่านมี่  เหมือนเดิม  คนที่พบเห็นจะต้องเก็บนี้เป็นความลับ  แต่ถ้าจะบอกกับผู้อื่นก็ห้ามพูดชื่อ  ว่าใครเป็นผีโพง  ถ้าเกิดพูดชื่อออกไป  ผีโพงจะมีญาณรับรู้ได้ทันทีว่าเราเอาความลับของมันไปบอกคนอื่น  มันก็จะตามมาทำร้ายเราที่บ้าน  โดยใช้  ก้านกล้วยแม่หม้าย  (ก้านกล้วยแม่หม้าย  คือก้านกล้วยที่เอาใบตองออกแล้ว  เหลือใบตองส่วนปลายไว้นิดหน่อย)  พุ่งข้ามหลังคา  หรือใต้ถุนบ้าน
       ฉะนั้นในคนสมัยก่อนมักจะบอกให้เราฟันก้านกล้วย  ออกสอง 2 ท่อน  หรือหลายๆท่อน  เพื่อที่จะไม่ให้ผีโพงนั้นนำไปใช้ได้อีก
       ชาวบ้านพบเห็นผีโพงครั้งสุดท้ายในช่วงปี พ.ศ.  2514  หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นอีก

ขอบคุณข้อมูลจาก
  1. กระโดดขึ้น โพง ก. ตาม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542
  2. กระโดดขึ้น ผีโพง จากหลอนภาพยนตร์ไทย พ.ศ. 2546
  3. http://ghostwiki.blogspot.com/search/label/%E0%B8%9C%E0%B8%B5%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B8%AD-ผีโพง
  4. http://www.banloktip.com/%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%87/ตำนานผีโพง
  5. https://www.gotoknow.org/posts/149419-ตำนานผีล้านนาตอนผีโพง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น