วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558

ตำนานพระเจ้าชู้แห่งเมืองคร


                 




พระเจ้าชู้แห่งเมืองนครศรีฯ
วัดพระมหาธาตุวรวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช นอกจากเป็นวัดเก่าแก่ที่ศักดิ์แล้ว ยังมีเรื่องราวที่น้อยคนนักที่รู้เรื่องราวความอาถรรพ์ ของพระพุทธรูปเจ้าชู้ ที่ประดิษฐานอยู่ ณ วัดแห่งนี้ด้วย

พระพุทธรูปเจ้าชู้ หรือพระแขนขาดที่ศักดิ์สิทธิ์ อายุหลายร้อยปีและพระพุทธรูปหกนิ้วเก่าแก่ พระทั้งสององค์นี้ถือเป็นปริศนาธรรมที่ต้องการให้ชาวพุทธได้รับรู้ถึงปาฏิหาริย์ที่เล่าขานเป็นตำนาน เป็นแหล่งเรียนรู้ทางพระพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดี

 นริศ น้อยทับทิม มัคคุเทศก์ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช เคยเล่าเอาไว้ว่าพระพุทธรูปแขนขาดองค์นี้มีตำนานบันทึกเอาไว้ว่า...
“ อดีตกาลนานมาแล้ว ในยามวิกาลนั้น ท่านจะแปลงร่างเป็นบุรุษที่หล่อเหลามาก ท่านเกิดความรักใคร่กับผู้หญิงกำพร้าคนหนึ่งอายุประมาณ ๑๔ ปี หรือ ๑๕ ปี ที่อยู่คนเดียว ทำให้พระองค์นี้เกิดความลุ่มหลง เวลาเที่ยงคืนพระองค์นี้ได้แปลงร่างเป็นผู้ชายแล้วไปอยู่กับเด็กสาวกำพร้าคนนั้น  พอดีที่ข้างบ้านมีลุงอยู่คนหนึ่งได้ยินเสียงคนคุยกัน ทำให้เกิดความสงสัย จนวันหนึ่งประมาณตีสี่เศษๆ ได้เห็นผู้ชายเดินลงมาจากบ้านหลังนี้โดยมีศีรษะล้าน คุณลุงได้เดินตามไปเรื่อยๆ พอตามมาถึงบริเวณวัดพระมหาธาตุฯ ปรากฏว่าชายคนดังกล่าวได้หายตัวไปอย่างลึกลับ

เมื่อเห็นเช่นนั้น ลุงคนที่อยู่ข้างบ้านของหญิงกำพร้าก็คิดจะฆ่าพระรูปนั้นเสียเพราะเป็นถึงพระสงฆ์องค์เจ้าลักลอบเสพเมถุนกับสีกา เมื่อคิดเช่นนั้นลุงแกก็กลับบ้านหามีดอีดาบลับเตรียมไว้รอพระรูปนั้นอีก ค่ำคืนนั้นลุงแกตั้งตารอจนถึงตี 4 ด้วยใจที่ต้องการฆ่าพระรูปนั้นแล้วประจารให้ชาวบ้านได้รู้ แล้วเวลานั้นก็มาถึงเมื่อพระรูปนั้นได้ก้าวลงบันไดลงจากบ้านของหญิงกำพร้า จังหวะที่ก้าวลงจากบันไดมาถึงขั้นที่สามเท่านั้น ลุงแกได้เอามีดดาบที่เตรียมเอาไว้ฟันลงไปที่พระรูปนั้นทันที พระรูปนั้นหันขวับมาแล้วยกเอามือมารับคมดาบแทนจนแขนขาด



พระแขนขาด หรือ พระเจ้าชู้

แต่ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของท่านหรือจะด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบได้พระรูปนั้นได้เดินต่อไป ลุงแกก็ไม่ละความพยายามจึงได้เดินตามมาจนถึงวัดพระมหาธาตุฯ  ในสมัยนั้นเส้นทางเดินมายังวัดพระมหาธาตุฯ มีความเปลี่ยวมาก บ้านคนไม่ได้มีมากมายอย่างปัจจุบัน ตรงนี้เองทำให้คุณลุงกลัวผีจึงไม่ตามได้เดินกลับบ้านของตนเองไป

แต่ลุงคนนั้นก็ไม่ละความพยายาม พอถึงตอนเช้าพระฉันเพลเสร็จ ลุงแกก็เดินตามรอยเลือดที่ฟันแขนพระเมื่อคืน แล้วหยดเลือดก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ลุงแกจึงก้มดูเลือดว่าทำไมเลือดมาหยุดอยู่ตรงนี้ พอเงยหน้าไปดูองค์พระพุทธรูป ถึงกับตะลึงลาน เมื่อเห็นว่าพระพุทธรูปองค์นั้นแขนขาด ด้วยเหตุนี้เองทำให้ลุงแกเชื่อว่า ต้องเป็นพระองค์นี้แน่ที่แปลงกายแล้วลักลอบเข้าไปหาหญิงกำพร้าทุกคืนจากนั้นลุงแกก็เอาผ้ามามัดองค์ท่านเอาไว้เพื่อไม่ให้ท่านไปไหน แล้วเหตุการณ์ของพระสงฆ์ที่แอบลอบออกจากวัดในตอนกลางคืนก็ไม่มีอีกเลย"

เมื่อเราลองสังเกตตรงเศียรองค์พระนั้นให้ดีๆ เราจะเห็นว่ามันไม่ได้เหมือนกับขององค์พระที่เราเคยเห็น แต่เป็นเขาของสัตว์ที่ใช้ปลายดาบปักลงไป เพื่อให้คนเห็นจะได้หวาดกลัว จึงเป็นที่มาของพระเจ้าชู้" นี่เป็นตำนานบอกเล่าของพระเจ้าชู้ ที่สุดแสนจะพิสดารและเล่าสืบต่อกันมาจนเป็นตำนานคู่กับวัดพระบรมธาตุเมืองนครฯ
นอกจากนี้ยังมี พระพุทธรูปแปลกอีกองค์หนึ่งคือ พระหกนิ้ว ที่ประดิษฐานอยู่ใต้พระบรมธาตุ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ตีนพระธาตุ ที่มีนิ้วขึ้นมาหกนิ้ว ชวนให้สงสัยว่าเป็นเพราะช่างตั้งใจปั้นให้เกิน หรือระหว่างปั้นนายช่างนั่งหลับหรือไม่ แต่พระหกนิ้วที่วัดมหาธาตุฯ สมัยก่อนถือเป็นแหล่งเรียนรู้มาตั้งแต่ก่อนสุโขทัยในเรื่องการเตือนสติ เข้าใจว่า พระพุทธรูปหกนิ้วนี้สร้างขึ้นมาเพื่อเตือนสติอารมณ์ว่า ใครพูดหรือบอกอะไรแล้วอย่าเชื่อทั้งหมด ต้องพิจารณาให้ถ้วนถี่เสมอ ดั่งคำสอนแห่งองค์สมเด็จสัมมาพุทธเจ้าที่ทรงตรัสเตือนสติเอาไว้ว่า
ใครบอกอะไรอย่าเชื่อให้บรรลุหรือเรียนรู้ แล้วค้นหาด้วยตัวเอง เพราะบางเรื่องที่มีคนบอกกับเรามาก็ต้องมีเรื่องที่โกหกอยู่บ้าง

 ดังนั้น เราได้รับฟังอะไรมาก็ต้องพิจารณาให้รอบครอบอย่างมีสตินั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ทั้งสองตำนานนี้ น่าจะเป็น “ปริศนาธรรม”ที่คนสมัยโบราณจงใจทิ้งเอาไว้เป็นมรดกทางปัญญาให้คนรุ่นหลัง เก็บเอาไว้ตีความและพึงสังวรถึงผลที่จะตามมาของการกระทำใดๆก็ตามที่ขาดสติยั้งคิดนั่นเอง!!
ขอบคุณข้อมูลจาก
http://ghostwiki.blogspot.com/2012/04/blog-post_6968.html

ตำนานเศรษฐีนวโกฎิ




เศรษฐีนวโกฎิ

     พระเศรษฐีนวโกฏิ หรือที่มีนามเรียกขานกันหลายชื่อ เช่น พระเก้าหน้า , พระเศรษฐีเก้าหน้า , พระเศรษฐีนวโกฏ ฯลฯ เป็นพระ 1 ใน 3 พระปฏิมากร สำคัญซึ่งสถาปนาในอาณาจักรล้านนาฝ่ายอรัญวาสี(พระป่า)ผู้ทรงธรรมในวิปัสสนาแต่โบราณ โดยสร้างขึ้นเป็นรูปนิมิต สัญลักษณ์แห่งโชคลาภ เป็นรูปจำลองพระปฏิมากรปางสมาธิหรือปางพนมมือ มีเก้าหน้า ประทับนั่งสมาธิ ในตำนานกล่าวว่าสมัยพุทธกาล มีมหาเศรษฐีใจบุญ 9 คน ท่านเหล่านี้เป็นผู้สร้างคุณประโยชน์เอนกอนันต์ให้แก่พระพุทธศาสนา มีความมั่งคั่งในโภคทรัพย์อยู่ในระดับเดียวกับกษัตริย์ ทั้งยังเป็น"สัมาทิฏฐิ" และยังเป็นพุทธอุปฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงยกย่องว่า ท่านเหล่านี้เป็นผู้เลิศในการทำทาน และเป็นยอดของมหาเศรษฐีทั้งปวง ประกอบไปด้วย 

1) ท่านธนันชัยเศรษฐี
2)ท่านยสะเเศรษฐี
3)ท่านชฎิลเศรษฐี
4)ท่านสุมังคละเศรษฐี
5)ท่านอนาถปิณฑิกะเศรษฐี
6)ท่านโชติกะเศรษฐี
7)ท่านสุมนะเศรษฐี
8)ท่านเมณฑกะเศรษฐี
9)มหาอุบาสิกาวิสาขา 


     ท่านมหาเศรษฐีทั้งเก้าท่านนี้ล้วนเป็นพระอริยะโสดาบันทั้งสิ้น รูปลักษณ์ต่างๆ ในโลกนี้ล้วนแต่มีความหมายแฝงไว้ซึ่งปริศนาธรรมทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นรูปหรือเป็นสัญลักษณ์อันมีความหมายที่แสดงถึงบุคคลที่เป็นพระอริยเจ้าผู้ทรงความบริสุทธิ์ เป็นผู้ที่บำเพ็ญมหาบารมีด้วยแล้วรูปหรือสัญลักษณ์ดังกล่าวก็จะมีความขลัง ทรงอิทธิคุณ ทรงความศักดิ์สิทธิ์ สามารถที่จะแสดงซึ่งฤทธานุภาพให้กับผู้ที่ศรัทธาเคารพสักการะได้ ซึ่งอารุภาพเหล่านี้เป็นอจิรไตยยยากที่จะเข้าใจได้ แต่สามารถสัมผัสและพิสูจน์ได้สำหรับผู้ที่มีความเชื่อมั่นและศรัทธาเลื่อมใสเท่านั้น

    เนื่องจากว่าสัญลักษณ์ดังกล่าวเปรียบได้กับคุณธรรมความดีงาม เมื่อบุคคลใดหมั่นระลึกถึงคุณงามความดี เอาความดีเป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวจิตใจแล้วบุคคลนั้นย่อมประสพแต่สิ่งที่ดีงามเช่นเดียวกัน พระมหาเศรษฐีนวโกฎิได้รับการสถาปนาขึ้นมาเมื่อใดนั้นยากที่จะหาคำตอบได้ แต่จากที่ได้ศึกษาค้นคว้าตามตำราโบราณ ตลอดจนครูบาอาจารย์ผู้รู้ทั้งหลายได้กล่าวว่า พระมหาเศรษฐีนวโกฎิได้รับการสถาปนาขึ้นในราชอาณาจักรล้านช้างโบราณโดยมีตำนานว่า

    สมัยหนึ่งเกิดทุกข์เข็ญทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพง ประชาชนเดือดร้อน บังเกิดความอดอยากขึ้น จึงมีพระภิกษุผู้เป็นอริยะรูปหนึ่ง ได้แนะนำให้สร้างพระเศรษฐีนวโกฏิขึ้น เพื่อทำการสักการะบูชาแก้เคล็ดในความทุกข์ยากทั้งหลาย และเมื่อสร้างและทำการฉลองสำเร็จ ก็ปรากฎเหตุการณ์อันอัศจรรย์ขึ้น คือ ความทุกข์ยากทั้งหลายได้บรรเทาเบาบางลงและสงบระงับไปในที่สุด จึงเป็นคติความเชื่อของชาวล้านนาว่า ถ้าผู้ใดได้บูชา พระเศรษฐีนวโกฏิ แล้ว จะเป็นสิริมงคล ทำมาค้าขึ้น ประสบแต่โชคลาภ อยู่เย็นเป็นสุข ด้วยอนิสงส์แห่งบารมีธรรมของมหาเศรษฐีทั้ง 9 ท่าน

     ต่อมาเมื่อคติการสร้างพระกริ่งในเจ้าคุณสมเด็จสังฆราชแพ แห่งวัดสุทัศน์ได้แพร่หลายไปสู่วัดต่างๆการสร้างพระกริ่ง ในชั้นหลังจึงพยายามกระทำพิธีกรรมตามแบบสมเด็จพระสังฆราชแพทั้งสิ้น คือ การจารอักขระแผ่นยันต์ต่างๆ สุมหุ่นและพิธีเททองหล่อพระ การสร้างพระกริ่งเศรษฐีนวโกฏิก็เช่นกัน พระอาจารย์ผู้สร้างได้ดัดแปลงเอาส่วนดีของการสร้างพระกริ่งมาใช้ในการสร้างพระเศรษฐีนวโกฏิ เพียงแต่แผ่นยันต์ในการสร้างพระเศรษฐีนวโกฏินั้น จำต้องใช้พระยันต์เฉพาะในด้าน"โภคทรัพย์"มาเสริมเพิ่มเติมให้เข้มขลังขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก
http://ghostwiki.blogspot.com/2012/05/blog-post_29.html

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558

ตำนานอาถรรพ์ดาบเพชรฆาต



ตำนานอาถรรพ์ ดาบเพชรฆาต





ดาบ ถือเป็นอาวุธประจำตัวนักรบโบราณที่ใช้กันทั่วไปทั่วโลก จะผิดแผกแตกต่างกันก็เฉพาะรูปแบบ สำหรับ “ ดาบไทย ” อันใช้เป็นดาบเพชฌฆาต ได้รับการสร้างขึ้นตามตำนานการสร้างด้วยการหาเหล็กที่เป็นเหล็กเนื้อดีนำมาไล่ขี้ควายออกแล้วหลอมกันเป็นก้อนเจือด้วยเหล็กจากบ่อพระแสง จ.อุตรดิตถ์ ที่เรียกกันว่า“ เหล็กน้ำพี้ ”


ดาบไทยโบราณ

เหล็กน้ำพี้นั้นเป็นเหล็กที่มีส่วนผสมโลหะธาตุตามธรรมชาติที่มีคุณสมบัติควบคุมเนื้อเหล็กธรรมดาให้เกิดความคงทนแข็งแกร่งไม่กินตัวเองให้เป็นสนิม ทนทานต่อการฟันของหนาๆที่แข็งคมจนเกิดประกายอันเป็นการข่มขวัญศัตรูด้วย การสร้างดาบเพชฌฆาตต้องถือ “ ฤกษ์เพชฌฆาต ” เป็นสำคัญ ส่วนการตีดาบให้ได้รูปลักษณ์ที่ต้องการและคม ต้องใช้ยามยมขันธ์เป็นหลัก



แร่เหล็กน้ำพี้
ลักษณะดาบเพชฌฆาตแยกเป็น ดาบหนึ่ง ดาบสอง

ดาบหนึ่ง   จะมีความสั้นกว่าดาบสอง ใบดาบจะกว้างกว่าดาบสอง ทั้งด้ามดาบก็สั้นกว่า สันดาปจะหนาประมาณ ๑ ซ.ม.  ส่วนด้ามดาบประกอบด้วยเหล็กรัด ใช้เชือกด้ายดิบถักหุ้มด้วยลวดลายรัดกุมเพื่อให้สาก ถนัดในการกระชับ ทั้งลงรักและยางไม้เพื่อรักษาด้วยให้คงทนต่อการใช้งาน สภาพดาบปลายจะหักลง แล้วงอนขึ้นคล้ายใบง้าวของจีนเพื่อให้เกิดน้ำหนักถ่วงทางโคนดาบให้ได้ดุล

ดาบสอง   ใบดาบจะยาวกว่าดาบหนึ่งประมาณ ๘ ซ.ม. ใบดาบเรียวคล้ายดาบที่นักรบไทยโบราณทั่วไปใช้ ปลายดาบเฉียงต่ำรับกับความโค้งของใบดาบด้านล่าง สันดาปบางประมาณ ๐.๗ ซ.ม.


ดาบเพชฌฆาตคู่นี้ได้รับการทิ้งไว้ยัง ห้องพิเศษในคุกหลวง ห้ามผู้ใดแตะต้อง ทุกวันเสาร์จะมีการสังเวยด้วยเหล้าและไก่ต้มเป็นการบวงสรวง จนมีการเล่าขานกันว่า ดาบ ๒ เล่มดังกล่าวจะสั่นได้เองเหมือนถูกคนจับเขย่า และหลังจากดาบทั้งคู่สั่นไม่เกิน ๗ วันก็จะต้องมีพิธีประหารชีวิตนักโทษเกิดขึ้นทุกคราไป

ทั้งดาบหนึ่ง  ดาบสองนี้ถูกใช้มาจนถึง รัชกาลที่ ๖ จึงได้ยกเลิก แต่สำหรับชีวิตนักโทษที่สังเวยไปจากดาบคู่นี้ประมาณไม่ต่ำกว่า ๑,๐๐๐ ศพ

สำหรับ “เพชฌฆาต” นั้นเป็นตำแหน่งที่โปรดเกล้าพระราชทานให้แก่ผู้มีดวงอันเหมาะสมโดยจะมีบรรดาโหราจารย์นำดวงชะตาไปคำนวณอย่างละเอียดเพื่อประกอบในการคัดเลือก ทั้งนี้ด้วยถือกันว่า การประหารชีวิตคนอันเป็นสัตว์ประเสริฐนับเป็นกรรมหนักรุนแรง จึงต้องเฟ้นหาดวงเพชฌฆาตที่มีดวงคุ้มตัวเองได้ มิฉะนั้นชีวิตจะสั้น !

พอเลือกเฟ้นได้คนที่มีดวงเหมาะสม  ยังต้องเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญเพลงดาบอย่างดี ทั้งมีความรู้เกี่ยวกับดาบ มีความแม่นยำในการลงดาบ เพื่อขณะทำการประหารจะได้ไม่เป็นการทรมานนักโทษจนเกินไป และผู้เป็นเพชฌฆาตจะต้องมีความรู้ทางด้านคาถาอาคมเป็นพิเศษด้วยเช่น คาถาสวดวิญญาณผีตายโหง  อาคมก่อนหยิบดาบเพชฌฆาต รวมทั้งสามารถแก้อาถรรพณ์หากผู้ถูกประหารมีวิชาด้านคงกระพันชาตรี

ตัวเพชฌฆาตหรือมือประหารเองจะต้องอยู่ประจำ ณ เรือนจำตั้งแต่ได้รับคำสั่งให้เตรียมการ จากนั้นเมื่อได้เวลาเพชฌฆาตจะอัญเชิญดาบออกจากที่ตั้งไปทำการบวงสรวงด้วยเครื่องเส้น เพื่อปลุกดาบให้เข้มขลัง เสร็จพิธีแล้วจึงค่อยเก็บดาบไว้ที่ตั้งเดิมรอเวลาประหาร
ครั้นได้ฤกษ์เพชฌฆาตดาบหนึ่ง  ดาบสองค่อยอันเชิญดาบออกจากที่ตั้ง พร้อมแต่งกายด้วยผ้าเตี่ยวสีแดงสด นุ่งหยักรั้งทะมัดทะแมงสวมเสื้อกั๊กสีแดงลงยันต์มหาอำนาจ มหาเดช มีบางรายคาดหัวด้วยผ้าสีแดงลงยันต์

เมื่อออกจากเรือนจำไปกับขบวนนักโทษ เพชฌฆาตจะอยู่รั้งท้ายขบวน  เมื่อถึงลานประหารที่กำหนดไว้ นักโทษจะถูกผูกตา ช่วงนี้เองที่เพชฌฆาตทั้งดาบหนึ่ง ดาบสองจะเข้าไปขออโหสิกรรม


กรณีเป็นเชื้อพระวงศ์หรือกษัตริย์

        ส่วนในกรณีที่นักโทษเป็นเชื้อพระวงศ์หรือกษัตริย์ ก็จะมีวิธีเฉพาะคือการทุบด้วยท่อนจันทน์
ที่ถือเป็นไม้หอม เป็นการให้เกียรตินักโทษ โดยการประหารด้วยท่อนจันทน์นี้ จะใช้วัดปทุมคงคาเป็นลานประหาร

ส่วนวิธีการ ก็คือ จะนำร่างของผู้ถูกประหารสวมด้วยถุงแดงแล้วรัดถุงให้แน่น เพื่อไม่ให้ใครแตะต้องพระวรกายและไม่ให้ใครเห็นพระศพด้วย จากนั้นเพชฌฆาตที่ได้รับนามเฉพาะว่า "หมื่นทะลวงฟัน" ก็จะใช้ไม้จันทน์ขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายสากตำข้าวทุบลงไปสุดแรงบริเวณพระเศียรหรือพระนาภี เสร็จแล้วก็นำไปฝังในหลุม 7 คืนเพื่อให้มั่นใจว่าสิ้นพระชนม์แล้วจริง ๆ ก่อนขุดขึ้นมาประกอบพิธีต่อไปและหากใครสงสัยว่าทำไมไม่ใช้วิธีเปิดผ้าดูว่าสิ้นแล้วหรือไม่ ก็อย่างที่บอกไปว่าไม่ว่าจะอย่างไรหลังจากนำนักโทษใส่ถุงแดงแล้วก็ห้ามเปิดให้ใครเห็นหรือแตะต้องพระวรกายโดยตรงได้เป็นอันขาด

วิธีการประหารชีวิตด้วยท่อนจันทน์ เลิกล้มไปในสมัยรัชกาลที่ 5 หลังจากมีการประกาศใช้กฎหมาย ร.ศ. 127ว่า ให้ประหารชีวิตเชื้อพระวงศ์ด้วยวิธีเดียวกันกับสามัญชน ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นนักโทษและในที่สุด ในปี 2477 ก็ได้ล้มเลิกการประหารชีวิตด้วยการตัดหัวไป เปลี่ยนเป็นการใช้ปืนยิงแทนโดยวิธีการยิงปืนประหารนี้ ก็จะมีขั้นตอนคล้ายกับการประหารชีวิตด้วยการตัดหัว ต่างที่การยิงปืนประหารจะทำในห้องประหารมิดชิด ไม่มีการเรียกประชาชนมามุงดูเหมือนกับการประหารชีวิตด้วยการตัดหัวอีกต่อไป

การประหารชีวิตด้วยปืนทำกันมาได้ไม่นานนัก เพราะเมื่อปี 2545 ได้เปลี่ยนวิธีการประหารชีวิตด้วยปืน
มาเป็นการฉีดยาแทน ซึ่งการฉีดยาจะมี 3 ขั้นตอน คือ ขั้นแรกจะฉีดยาให้นักโทษสลบก่อนจากนั้นค่อยฉีดยาหยุดการทำงานของปอดและกระบังลม และสุดท้ายก็จะฉีดยาที่ทำให้หัวใจหยุดเต้นเป็นอันเสร็จพิธี เรียกว่าสบายกว่าวิธีไหน ๆ ไม่ต้องตื่นเต้นว่าจะถูกสับหัวหรือยิงปืนเมื่อไหร่ และวิธีนี้ก็ยังเป็นวิธีที่ใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน




ทั้งหมดนี้คือวิวัฒนาการของการประหารชีวิตในสยาม ที่ดูเหมือนจะลดความทรมานลงทุกวัน ๆ ขณะเดียวกันที่สถิติการประหารชีวิตก็ค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ ทั้งในไทยและหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งที่เป็นอย่างนั้นก็ไม่ใช่เพราะว่าคนเรามีคุณธรรมกันมากขึ้นแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะบทลงโทษในสังคมทุกวันนี้มันเบาลงเรื่อย ๆ ต่างหาก..

ยิ่งไปกว่านั้น ในยุคที่บทลงโทษในสังคมเบาลงทุกวัน ขณะที่โจรผู้ร้ายมีมากขึ้นแบบนี้ ก็ยังมีคนในหลายประเทศออกโรงต่อต้านการประหารชีวิตกันอย่างมากมาย เพราะเห็นว่ามันโหดร้ายก็ไม่แน่ว่า.. บางที โทษประหารอาจถูกล้มเลิกไปในอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้าก็เป็นได้



เครื่องลงทัณฑ์เกี่ยวกับการประหารชีวิตด้วยดาบ


 1.ดาบ ดาบที่ใช้ในการประหารชีวิตนั้น มีรูปร่างต่างๆกัน ดาบเก่าครูเพชฌฆาตจะจัดทำขึ้น เช่น ดาบปลายแหลม ดาบปลายตัดดาบหัวปลาไหล ดาบมีฝักและสายสะพายพร้อม เท่าที่ปรากฎอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของกรมราชทัณฑ์ขณะนี้มีอยู่ 3 แบบคือ ดาบหัวปลาไหล ดาบปลายแหลม ดาบหัวตัด ปรากฎหลักฐานแน่
ชัดว่าเริ่มใช้สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยกฎหมาย พระอัยการขบถศึก จุลศักราช 796 (พ.ศ. 1978) เลิกใช้สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตรงกับแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 โดยพระราชบัญญัติแก้ไขพิ่มเติมประมวลกฎหมายลักษณะอาญา ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2477





2.มีดตัดสายมงคล  ชาวบ้านเรียกว่า "มีดหมอ" มีไว้สำหรับตัดสายมงคลที่ล้อมลานพิธีประหารชีวิตเท่านั้น การตัดสายมงคลจะใช้มีดชนิดอื่นไม่ได้ ทั้งนี้เกี่ยวข้องกับพิธีทางไสยศาสตร์ ปรากฎหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มใช้สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยกฎหมาย "พระอัยการขบถศึก" จุลศักราช 796 (พ.ศ. 1978) เลิก
ใช้สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตรงกับแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย ลักษณะอาญา ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2477 


3.มีดตัดส้นเท้า  ผู้ร้ายอุกฉกรรจ์มหันตโทษ ที่ถูกประหารชีวิต ที่ข้อเท้าจะถูกตีตรวนขนาดใหญ่ให้ห่วงของตรวนรัดติดแน่นกับข้อเท้าจนไม่สามารถรูดออกทางส้นเท้าได้ เมื่อถูกประหารชีวิตแล้วจึงใช้มีดสับส้นเท้า เพื่อถอดตรวนข้อเท้าออกปรากฎหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มใช้สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยกฎหมาย "พระอัยการขบถศึก" จุลศักราช 796 (พ.ศ. 1978) เลิกใช้สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ 5) ร.ศ.131 (พ.ศ. 2455) 
เนื่องจากมีตรวนข้อเท้าที่สามารถไขได้ด้วยกุญแจมาใช้แทน 
4.คบเพลิงสำหรับท่องทาง  การนำนักโทษประหารออกจากคุกไปตัดหัวที่วัด มักนำนักโทษลงเรือพายไปตามลำคลองให้ทันเวลาย่ำรุ่งประมาณ 03.00 นาฬิกา ซึ่งยังมืดมากต้องใช้คบเพลิงส่องให้แสงสว่างขณะเดินทาง



5.หลักไม้กางเขน ใช้เป็นหลักประหารนักโทษที่ถูกประหารด้วยดาบเพชฌฆาต จะนำนักโทษประหารเข้าไปนั่งผูกติดกับหลักไม้กางเขนเรียกว่า "มัดแบบกาจับหลัก" วิธีปักหลักไม้กางเขน มัดนักโทษ ครูเพชฌฆาต ต้องขุดหลุมเสกคาถาเรียกแม่ธรณี แล้วเอาไม้กางเขนปักลงกลบให้แน่น เขียนยันต์ลงที่ดินหน้าไม้กางเขนตรงก้น นักโทษที่จะนั่ง แล้วเอาใบตอง 3ยอด ปูให้นักโทษนั่งบนใบตองเอาด้ายดิบที่เสกแล้ว มัดแขนด้านหลัง ติดกับกลักกางเขน ทำพิธีเสกดินอุดหูสะกดให้นักโทษสงบจิต ปรากฎหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มใช้ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยกฎหมาย "พระอัยการขบถศึก" เลิกใช้สมัยรัชกาลที่ 7 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ.2477 เปลี่ยนแปลงการลงโทษอาญาประหารชีวิตด้วยดาบเป็นยิงด้วยปืน



6.ขันทำน้ำมนต์  ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ เป็นภาชนะสำหรับเพชฌฆาตทำน้ำมนต์ก่อนและหลังพิธีตัดคอนักโทษ เพื่อใช้น้ำมนต์ในขันปัดรังควานและอาบหรือพรมตามร่างกาย เป็นการป้องกันวิญญาณร้ายเข้าสิงร่างกาย ปรากฎหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มใช้ สมัยกรุงศรีอยุธยาโดยกฎหมาย "พระอัยการขบถศึก"จุลศักราช 796 (พ.ศ.1978) เลิกใช้สมัยรัชกาลที่ 7 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อมีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ. 2477 เปลี่ยนการลงโทษอาญาประหารชีวิตด้วยดาบเป็นยิงด้วยปืน 

7.ธงแดง ธงทำด้วยผ้าสีแดง ด้ามทำด้วยไม้ไผ่ยาวประมาณ 23 นิ้ว สำหรับปักในบริเวณลานประหารเพื่อให้รู้ว่าบริเวณนี้มีพิธีประหารชีวิต ห้ามฝูงชนมากีดขวางบริเวณที่มีธงแดง 

8.
ศาลเพียงตา  มีลักษณะสองชั้นทำด้วยไม้เนื้อแข็งติดกันยกหรือเคลื่อนย้ายได้สะดวกแก่การนำไปใช้ในการประหารชีวิต ชั้นล่างสำหรับวางดาบประหาร ชั้นบนสำหรับวางถาดใส่อาหาร เครื่องเซ่นสังเวยเมื่อนำนักโทษไปถึงแดน ประหารแล้ว เพชฌฆาตที่เป็นหัวหน้าเรียกว่า ครูเพชฌฆาตเป็นผู้ประกอบ พิธีบวงสรวงสังเวยเทพยดาและภูตผีต่างๆ ตลอดจนผีตายโหงที่เคยฆ่า เมื่อบริกรรมเสร็จแล้ว
จะเรียกเพชฌฆาตดาบหนึ่งดาบสองเข้าในวงพิธี โดยนั่งหน้าศาลเพียงตาแล้วร่วมพิธีบวงสรวงครูเพชฌฆาตจะนำเอาแป้งกระแจะเจิมหน้าเพชฌฆาตทั้งสองเมื่อบวงสรวงเสร็จแล้ว มอบดาบจากศาลเพียงตาส่งให้เพชฌฆาตทั้งสองทำหน้าที่ประหารชีวิตต่อไป

9.ไม้เสาหลักกลม  การประหารชีวิตในสมัยโบราณทำพิธีกันกลางทุ่งแจ้ง และใช้เวลานาน ไม้เสาหลักกลมมีไว้สำหรับขึงผ้ากันแดดและกันฝูงชนมิให้รุกล้ำเข้ามาในระหว่างทำพิธีสังเวยหรือบวงสรวง


10.ถาดทองเหลือง ก่อนการประหารชีวิตเพชฌฆาตต้องทำพิธีไหว้ครูและสักการะสิ่งเคารพบูชาตามที่ตนเลื่อมใสเพื่อให้มีจิตใจมั่นคง เพราะการฆ่าคนก็เกรงกลัวแรงผีเข้าสิง ภาชนะที่ใช้ในพิธี บวงสรวง ประกอบด้วย ถาดทองเหลืองมีเชิงและลวดลาย ถ้วยชามกระเบื้องลักษณะมีลายสีน้ำเงิน เหมือนชามสังคโลก สำหรับใส่ของหวานและน้ำจิ้ม เพื่อเซ่นสังเวยเทพยดาฟ้าดิน เครื่องสังเวยประกอบด้วยหัวหมูซ้ายขวา เป็ดหนึ่งไก่หนึ่ง ปลาแปะซะหนึ่ง พร้อมน้ำจิ้ม บายศรีกล้วยน้ำไทย 1 หวี มะพร้าวอ่อน 1 ลูก ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว สิ่งละถ้วย ขนมธรรมดาอีก 4 ถ้วยเหล้าโรง 2 ขวด ดอกไม้พร้อมด้วยธูป 1 ซอง เทียน 9 เล่ม


11.ถ้วยเคลือบดินเผา สำรับอีกหนึ่งชุด ลักษณะเป็นถ้วยเคลือบ ดินเผามี 5 ใบ สำหรับใส่อาหารคาวหวานให้นักโทษประหารกินเป็นมื้อสุดท้ายก่อนถูกตัดหัว ทั้งเครื่องเซ่นสังเวยบวงสรวงและอาหารผู้ต้องโทษ มีฝาชีครอบไว้เรียบร้อย

12.ฝาชีครอบถาด ใช้สำหรับครอบถาดทองเหลืองที่มีเครื่องเซ่นสังเวยบวงสรวง และสำหรับอาคารคาว หวานให้นักโทษประหารกินเป็นมื้อสุดท้ายก่อนตัดหัว เพื่อกันไม่ให้ตัวแมลงหรือสิ่งสกปรก ตอมอาหาร

ขอบคุณข้อมูลจาก
http://ghostwiki.blogspot.com/2012/05/blog-post_30.html

ผีปลาเฝ้าถ้ำ-ปลาช่อนลูกตาเท่าบาตร



                                                ผีเฝ้าถ้ำ  วัดพระธาตุสบฝาง  (ผีปลาเฝ้าถ้ำ)




ผีปลาเฝ้าถ้ำ
เทคนิค : วาดภาพบนกระดาษแต่งภาพ Photoshop






ลักษณะ  :  เป็นปลาช่อนตัวใหญ่  มีตาสีแดง  ลูกตาขนาดเท่าบาตรพระ


เรื่องเล่า  :
       สมัยก่อน  ปู่แก้วปวน  ได้นำส้อมแทงปลา(ส้อมแทงปลา  คืออาวุธที่ให้หาปลาของคนสมัยก่อน  เป็นเหล็กยาว  ปลายเหล็กจะมีเหล็กยาวแยกออกมาเป็น  2  แฉก)  ออกไปหาปลากับเพื่อนอีก 6 คนที่แม่น้ำใกล้วัดพระธาตุสบฝาง  ปู่แก้วปวนเกิดทำแหลมเหล็กตกลงแม่น้ำ  จึงดำลงน้ำเพื่อหาแหลมเหล็ก  ขณะที่ดำลงไปได้เจอกับถ้ำ  เห็นปลาช่อนตัวใหญ่  ลูกตาขนาดเท่าบาตรพระ  ว่ายวนเวียนอยู่ด้านนอกถ้ำ  ปู่น้อยปวนหาโอกาสเข้าไปในถ้ำได้  พบว่าภายในถ้ำนั้นมีพระพุทธรูป  สีทอง  หลายองค์เต็มถ้ำไปหมด  ก่อนออกมา  ปู่แก้วปวนจึงได้หยิบเอาพระพุทธรูปองค์หนึ่งมา  เพื่อจะกลับไปด้านบน  แต่ก็ไม่สามารถออกจากถ้ำนั้นได้  ปู่แก้วปวนจึงนำพระพุทธรูปกลับไปไว้ที่เดิม  จึงสามารถออกถ้ำได้  หลังจากนั้นปู่แก้วปวนจึงกลับไปบ้าน  แล้วก็ไปหาเพื่อนที่ออกไปหาปลาด้วยกัน  เพื่อนก็ได้เล่าให้ปู่แก้วปวนฟังว่า  ตอนที่ปู่แก้วปวนลงดำหาส้อมแทงปลา  เพื่อนๆก็รอจนครึ่งวัน  เห็นท่านึกว่าปู่แก้วปวนคงเสียชีวิตแล้ว  จึงพากันกลับมาบ้าน  แต่ปู่แก้วปวนบอกเพื่อนว่าตอนที่ลงไปในถ้ำนั้น  เขาใช้เวลาแค่ไม่นานแต่กลับขึ้นมาอีกทีก็เป็นเช้าของอีกวันแล้ว  ปู่แก้วปวนจึงได้เล่าเรื่องที่เขาไปเจอถ้ำให้เพื่อนฟัง
       หลังจากนั้นมา  อุ๊ยม้อม  อุ๊ยม้อมเป็นคนภาคกลาง  แต่มาได้สามีที่เชียงใหม่  อุ๊ยม้อมสมัยสาวๆ  ดำน้ำเก่งมา  ดำได้นาน  อุ๊ยม้อมจะชอบไปดำน้ำหาปลา  เพื่อนำมาเป็นอาหาร  วันหนึ่งได้ไปดำน้ำหาปลาในแม่น้ำกก  แถวพระธาตุสบฝาง  แล้วก็ได้เจอกลับปลาช่อนตัวใหญ่  ลูกตาโตสีแดงเฝ้าหน้าปากดำอยู่  อุ๊ยม้อมไม่กล้าเข้าไปใกล้จึงได้ไปหาปลาบริเวรอื่นแทน  พอกลับมาก็ได้เล่าให้สามี  และญาติๆฟังว่าได้เจอถ้ำใต้พระธาตุสบฝาง
       ชาวบ้านจึงเชื่อกันว่า  ปลาเฝ้าถ้ำนั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มาเฝ้าปกปักรักษาไม่ให้ใครเข้าไปในถ้ำได้  หลังจากนั้นมาก็ไม่มีใครได้เห็นปลา  หรือถ้ำนั้นอีกเลย

ขอบคุณข้อมูลจาก
  1. http://ghostwiki.blogspot.com/2011/11/blog-post_5359.html ผีปลาเฝ้าถ้ำ

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558

ท้าวหิรัญพนาสูร-อสูรผู้เป็นใหญ่แห่งป่า

   พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับการศึกษาจากประเทศอังกฤษ ในขณะที่มีการค้นคว้าเรื่องราวทางภารตวิทยาของอินเดียหรืออนุทวีป ในฐานะเมืองขึ้นของจักรวรรดิอย่างคึกคัก ส่งผลให้พระองค์ทรงสนพระทัยในเรื่องราวอันเร้นลับของอินเดียที่ถ่ายทอดผ่าน คัมภีร์และปกรณัมต่างๆ และทรงเป็นต้นแบบในการรับเอาคติความเชื่อต่างๆ เกี่ยวกับ "ภารตะวิทยา"


ท้าวหิรัญพนาสูรปรากฏขึ้นในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว คำว่า "หิรัญ" หมายถึงเงิน สีเงิน หรือบางแห่งแปลความหมายว่าทอง ส่วน "พนาสูร" เป็นคำเชื่อมกันระหว่าง "พนา" แปลว่า "ป่า" กับ "อสูร" ดังนั้น จึงสื่อความหมายถึงเทพาสูรผู้เป็นใหญ่แห่งป่า ซึ่งพระองค์ทรงเรียกว่า "ท้าวหิรัญฮู" มีผู้อธิบายว่า "ฮู" มาจาก "Who" ในภาษาอังกฤษ เนื่องจากในปี พ.ศ.2449 ขณะที่ยังทรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงเสด็จประพาสมณฑลพายัพ ซึ่งเส้นทางในสมัยนั้นเต็มไปด้วยป่าเขา ภยันตราย และโรคภัยไข้เจ็บ ขณะเมื่อทรงจะออกจากอุตรดิตถ์ข้าราชบริพารที่ตามเสด็จรู้สึกหวั่นวิตกต่อ ภยันตราย พระองค์จึงทรงมีพระราชดำรัสว่า "ธรรมดาเจ้าใหญ่นายโตจะเสด็จ ณ ที่แห่งใดๆ ก็ดี คงจะมีทั้งเทวดาและปีศาจฤๅอสูร อันเป็นสัมมาทิฏฐิ คอยติดตามป้องกันภยันตรายทั้งปวง มิให้มากล้ำกรายพระองค์และบริวารผู้โดยเสด็จได้ ถึงในการเสด็จครั้งนี้ก็มีเหมือนกัน อย่าให้ผู้หนึ่งผู้ใดมีความวิตกไปเลย"


ด้วยกระแสพระราชดำรัสดังกล่าว ทำให้บรรดาข้าราชบริพารขุนนางใหญ่น้อยอุ่นใจคลายความกังวล ในขณะเสด็จประพาสนั้นปรากฏมีข้าราชบริพารชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเกิดนิมิตฝัน เห็นบุรุษผู้หนึ่งร่างสูงใหญ่ล่ำสัน บอกนามว่า "หิรัญ" และแจ้งว่าตนเป็นอสูรแห่งป่า เป็นผู้ตั้งอยู่ในสัมมาปฏิบัติ จะคอยดูแลปกป้ององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และข้าราชบริพารในขณะเดินทาง จึงทรงโปรดฯ ให้ตั้งเครื่องสังเวยในป่าริมพลับพลานั้น และเมื่อทรงเสวยก็จะแบ่งพระกระยาหารไปตั้งเป็นเครื่องเซ่นเสมอๆ ปรากฏว่าการเสด็จพระราชดำเนินหัวเมืองพายัพครั้งนั้นปราศจากเภทภัย อันตราย ไม่มีใครเจ็บไข้ได้ป่วย และประสบความสำเร็จสมดังตั้งพระราชหฤทัยไว้ทุกประการ

      ด้วยเหตุ ดังกล่าวการเสด็จประพาสในคราวต่อๆ มาข้าราชบริพารจึงทำพิธีอัญเชิญเทพาสูรที่ปรากฏในนิมิตตามเสด็จไปด้วยทุก ครั้ง และมีผู้คนมากมายพบเห็นบุรุษในลักษณาการอย่างโบราณ รูปร่างสูงใหญ่ นั่งบ้าง ยืนบ้าง ตามขบวนเสด็จไปด้วยเป็นอันมาก จนข่าวคราวร่ำลือถึงข้าหลวงมณฑลเทศาภิบาลต่างๆ ทำให้ผู้คนเลื่อมใส เคารพท้าวหิรัญพนาสูรกันแต่ครั้งนั้น และโปรดให้หล่อรูปท่านท้าวประดิษฐานไว้ประจำพระราชวังพญาไท "รูปท้าวหิรัญพนาสูร" จึงกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนเคารพกราบไหว้ให้ป้องกันภยันตราย ให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และประสบความสำเร็จในกิจการงานต่างๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 จากนั้นก็มีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับกิตกศัพท์ความศักดิ์สิทธิ์ของ ท้าวหิรัญพนาสูร อีกเยอะแยะมากมาย เช่น มหาดเล็กคนสนิทของรัชกาลที่ 6 ผู้หนึ่ง คือ "จมื่นเทพดรุณทร" ท่านผู้นี้ได้เล่าให้ข้าราชบริพารฟังต่อ ๆ กันมาว่า "ในหลวง (ร.6) ทรงเรียกท้าวหิรัญพนาสูรว่า "ตาหิรัญฮู" ซึ่งคนในวังสมัย ร.6 จะรู้ถึงกิตติศัพท์ของ "ตาหิรัญฮู" ดีว่าสำแดงเดชและอภินิหารอย่างไรบ้าง จึงเล่ากันปากต่อปากเรื่อยมา อย่างเรื่องแรกเกิดขึ้นเมื่อรัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างรูปท้าวหิรัญพนาสูร โดยให้พระยาอาทรธรศิลป์ (ม.ล.ช่วง กุญชร) เป็นผู้ดำเนินการ โดยมีมิสเตอร์แกลเลตตี นายช่างชาวอิตาเลี่ยนที่มาทำงานในกรมศิลปากรเป็นผู้หล่อ เมื่อหล่อเสร็จก็จะยกขึ้นตั้งบนฐานในพระราชวังพญาไท มิสเตอร์แกลเลตตีก็เอาเชือกผูกคอท้าวหิรัญฮูชักรอกขึ้นไป เสร็จแล้วมิสเตอร์แกลเลตตีก็ป่วยกะทันหันทำงานไม่ได้ เพราะคอเคล็ดโดยไม่รู้สาเหตุ พอพระยาอาทรไปเยี่ยม ท่านพอจะรู้สาเหตุจึงบอกว่าคงเป็นเพราะเอาเชือกไปผูกคอรูปหล่อท้าวหิรัญฮู ให้เอาดอกไม้ ธูป เทียนไปขอขมาเสีย เมื่อนายช่างชาวอิตาเลี่ยนทำตามคอที่เคล็ดจึงกลับมาเป็นปกติอย่างอัศจรรย์

อีกเหตุการณ์หนึ่งเกี่ยวกับ "ท้าวหิรัญพนาสูร" ที่เล่ากันมา เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่รัชกาลที่ 6 สวรรคตแล้วรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชย์ต่อ วันหนึ่งพระองค์ได้เสด็จฯ ตรวจรถยนต์พระที่นั่ง ซึ่งเป็นพระราชมรดก โดยมีกรมหมื่นอนุวัติจาตุรนต์เสด็จไปด้วย กรมหมื่นฯ ท่านนี้ได้กราบทูลขอรถยนต์คันหนึ่ง ซึ่งมีรูปท้าวหิรัญฮูติดอยู่ด้วย ซึ่งรัชกาลที่ 7 ก็พระราชทานให้ เล่ากันว่าเมื่อเอารถกลับไปไว้ที่วังสี่แยกหลานหลวง คืนนั้นก็นอนไม่หลับ ได้ยินเสียงกุกกัก ๆ ในโรงเก็บรถทั้งคืน ครั้งลุกไปดูก็ไม่เห็นมีอะไร จึงคิดว่าอาจเป็นเสียงหนู แต่ขณะที่กำลังคิดในทางที่ดีก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เพราะจู่ ๆ ไฟในโรงรถก็เกิดสว่างจ้าขึ้นมาเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่โรงรถปิดอยู่ จึงเรียกคนขับรถและมหาดเล็กไปช่วยกันดู แต่พอเปิดประตูโรงเก็บรถก็ต้องใจหายเป็นครั้งที่ 2 เพราะไม่มีใครอยู่ในนั้นเลย และยังน่าสงสัยที่เห็นรถจอดขวางโรง ซึ่งแต่แรกไม่ได้จอดในลักษณะนี้ จึงต้องช่วยกันกลับรถจอดใหม่ จากนั้นรุ่งขึ้น กรมหมื่นอนุวัติจาตุรงค์ต้องจัดเครื่องเซ่นสังเวยท้าวหิรัญฮูเพื่อขอขมา และไม่กล้าใช้รถพระราชทานคันนั้นอีกเลย

   อภินิหารของท้าวหิรัญพนาสูรยังมีเล่าอีกหลายเรื่อง อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นกับเชื้อพระวงศ์ในตระกูลดิศกุลพระองค์หนึ่ง เมื่อครั้งที่ประชวรปัสสาวะเป็นเลือด ท่านได้เสด็จมารักษาที่โรงพยาบาลพญาไท หมอเอกซเรย์ดูบอกว่าต้องผ่าตัด บรรดาพระญาติทราบถึงประวัติท่านท้าวหิรัญฮูดี จึงเอาดอกไม้ ธูป เทียนไปสัการะรูปหล่อ ซึ่งประดิษฐานอย่ในบริเวณโรงพยาบาล ผลปรากฎว่าโรคที่เป็นกลับหายโดยไม่ต้องผ่าตัดอย่างไม่น่าเชื่อ

ทุกวันนี้ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ยังมีคนมากราบไหว้ "ท้าวหิรัญพนาสูร" อยู่ไม่ขาด โดยศาลของท่านตั้งอยู่ด้านหลังโรงพยาบาล ซึ่งแม้รัชกาลที่ 6 จะสวรรคตไปนานแล้ว หน้าที่ของ "ท้าวหิรัญพนาสูร" ก็ยังคงดูแลช่วยเหลือคนไข้และคนดีอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับว่าใครจะติดต่อหรือมองเห็นท่านได้ เพราะท่านอยู่คนละภูมิ ซึ่งซ้อนอยู่กับภูมิมนุษย์ของเรา 

ขอบคุณข้อมูลจาก
http://ghostwiki.blogspot.com/2012/12/blog-post_1196.html



ผีชิน-เทพารักษ์ประจำสถานที่






ผีชิน
เทคนิค : วาดภาพบนกระดาษแต่งภาพ Photoshop






ผีชิน 

จากความเชื่อว่าในพื้นที่ทุกแห่งจะมีพระภูมิเข้าที่เป็นเทพารักษ์ประจำสถานที่ มีบริถิวรักษาทางสัญจร ท้าวนาคารักษาห้วงน้ำ ฯลฯ ซึ่งจัดเป็นพระภูมิช่วยปกป้องรักษา และยังมีผีให้คุณโทษประจำที่ต่างๆ อีกที่เรียกว่า ชิน ซึ่งมีหลายประเภท เช่น ชินห้วย ชินหนอง ชินคลอง ชินท่า ฯลฯ

ในบรรดาผีชินที่ประจำพื้นที่ต่างๆ นี้ ชาวบ้านเชื่อว่ามีชินละหมาดเป็นใหญ่ดูแลบริวารชินทั้งหมด เมื่อชาวบ้านไปทำมาหากินในเขตพื้นที่ของผีชิน ก็อาจจะถูกผีชินให้โทษขนบังเกิดอาการเป็นไปต่างๆ นานา บางรายถึงแก่ชีวิต ต้องหาหมอชาวบ้านหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยประสานเรียกหาผีชินที่ให้โทษเหล่านี้มาตกลงขอขมาและบูชาเซ่นไหว้เสียให้ถูกต้อง เช่น จัดสร้างศาลาและเซ่นให้กินของต่างๆ ตามที่ตกลงกัน สานแผงตั้งเครื่องเซ่นสูงต่ำตามศักดิ์ของผีชินมี หมากพลู ขนมโค ไก่ ฯลฯ หากไม่ไปเซ่นแก้ตามที่ตกลงก็จะมาให้โทษ มีอาการเป็นไป แต่หากปฏิบัติถูกต้องเซ่นแก้ไหว้ตามตกลง อาการป่วยไข้ต่างๆ ที่เป็นอยู่ก็หายไปอย่างเป็นปริศนา

ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องผีชิน เกิดจากความกลัวในโทษที่ผีชินได้แสดงให้เห็นในอาการของผู้ถูกผีชิน เพราะโดยปกติแล้วเชื่อกันว่าผีชินในที่ต่างๆ ไม่ได้ให้โทษแก่ผู้ใด นอกจากจะไปก้าวล้ำในพื้นที่ของผีชินเข้าเท่านั้น ดังนั้นเมื่อมีผีชินให้โทษชาวบ้านจึงมักขอขมาและจัดหาของเซ่นไหว้เพื่อให้ผีชินยกโทษให้ มีพิธีกรรมการเซ่นไหว้ให้เป็นไปตามที่ผีชินต้องการหรือข้อตกลงเป็นการขอขมาโทษในสิ่งที่ได้กระทำผิดพลาดไป

ขอบคุณข้อมูลจาก

http://ghostwiki.blogspot.com/2012/01/blog-post.html

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

ผีจะกละ-ผีล้วง


ผีจะกละ

 คือเป็นชื่อผีชนิดหนึ่งมีรูปเป็นแมว อยู่ในจำพวกผีป่า หมอผีเลี้ยงไว้สำหรับใช้ไปทำร้ายศัตรูหรือคู่อริ

ทางภาคใต้จะเรียกผีแมวชนิดนี้ว่า "ผีล้วง" มีที่มาด้วยกัน 2 แบบ คือ

1. เกิดจากผู้มีคาถาอาคมปล่อยของ แล้วของนั้นก็จะกลายเป็นผีล้วง หรือ หินพับวัม[1]

2. เกิดจากแมวที่ชอบกินสัตว์อื่นเป็นอาหารและชอบกินเลือดสดๆ จนเป็นสื่อนำของที่ผู้มีอาคมปล่อยมาแฝงร่างเพื่อกินของคาวสด

ลักษณะ

เหมือนแมวบ้านทุกประการ แต่จะมีขนสีดำสนิทกระด้างไม่มีเงา และขนจะทวนไปด้านหน้าฟูฟ่อง ดวงตาสีแดงเลือด มักจะออกหากินกลางคืน กลัวคน เมื่อเห็นคนหรือคนเห็นมัน มันจะวิ่งหนีลงรู ซึ่งมันจะขุดรูเป็นที่อยู่

ความน่ากลัว

มันมีฤทธิ์สามารถฆ่าคนได้เพียงแค่เห็นหรือสัมผัสมัน มีเหตุการณ์นึงที่จังหวัดกระบี่ คือการตายพร้อมกันทั้งครอบครัว ซึ่งมีด้วยกัน 3 คน พ่อ แม่ และลูกสาวอายุ 10กว่าขวบ แพทย์สรุปการตายว่า "ภาวะหัวใจล้มเหลว" ซึ่งเหล่าญาติพี่น้องของผู้ตายเชื่อว่าเป็นฝีมือของ ผีล้วง เพราะเมื่อเข้าไปตรวจสอบดูที่บ้าน พบรูลึกประหลาดอยู่หลังบ้าน รอบๆปากรูมีเส้นขนของแมวติดอยู่ จึงเชื่อว่าเป็นฝีมือของ "ผีล้วง"

[1] พับวัม คือหินชนิดหนึ่งเชื่อว่าเกิดจากการปล่อยของของผู้มีอาคมแก่กล้า มักจะอยู่ในปล้องไม่ไผ่

ขอบคุณข้อมูลจาก
http://ghostwiki.blogspot.com/2012/01/blog-post_2847.html

ผีหลังกลวง-วิญญาณเฝ้าน้ำตก



ผีหลังกลวง 

เชื่อกันว่าผีหลังกลวงเป็นความเชื่อของชาวไทยภาคใต้มีลักษณะเป็นเหมือนกับคนธรรมดาแบบเราๆท่านๆนี่แหล่ะ แต่มันไม่ชอบใส่เสื้อผ้าและที่สำคัญคือมันมีสันหลังที่กลวงโบ๋มีน้ำหนองไหลออกมาอย่างน่ากลัว ผีหลังกลวงชอบอาศัยอยู่ในแถบสถานที่ๆมีอากาศเย็นโดยเฉพาะในบริเวณน้ำตกต่างๆของทางภาคใต้ เชื่อกันว่ามันชอบกินของดิบ หากเจอมันเข้าคนเฒ่าคนแก่บอกว่าให้เอาปลาหมอโยนใส่หลังมัน (ถึงเวลานั้นใครมันจะเวลาไปหาปลาหมอละครับ)


ขอบคุณข้อมูลจาก

http://ghostwiki.blogspot.com/search/label/%E0%B8%9C%E0%B8%B5%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89